หม่อน ที่เราทราบกันดีว่าใบใช้เป็นอาหารหนอนไหม เพื่อให้หนอนไหมสร้างเส้นใยพันรอบตัวเองเป็นรังไหม ก่อนนำมาสาวเป็นเส้นไหมใช้ถักทอเป็นแพรพรรณอันล้ำค่า เหนือแพรพรรณที่ผลิตจากเส้นใยชนิดอื่น แต่หม่อนมิใช่พืชที่มีเพียงใบที่นำมาใช้ประโยชน์ในการเลี้ยงไหมและนำมาผลิตชาใบหม่อน ที่มีสรรพคุณโดดเด่นในการลดน้ำตาลในเลือด เป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพที่ได้รับความนิยมอย่างมากอยู่ในขณะนี้เท่านั้น
ทุกส่วนของหม่อนสามรถนำไปใช้ประโยชน์ได้ อาทิ
รากหม่อน มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ลดอาการขัดเบา ลด ความดันโลหิต แก้อาการไอที่มีเสมหะสีเหลือง
กิ่งและลำต้นหม่อน มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต แก้อาการปวดกล้ามเนื้อ และอาการหดเกร็งของแขนขา
ผลหม่อน เป็นส่วนประกอบในอดีตใช้เป็นเพียงพืชสมุนไพร แก้อาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย หูอื้อ ผมหงอกก่อนวัย คอแห้ง กระหายน้ำ ช่วยให้นอนหลับและช่วยระบายท้อง ด้วยการนำผลหม่อนมาผึ่งแดดให้แห้ง ต้มน้ำดื่ม 9 ถึง 15 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร
ปัจจุบันผลหม่อนมีประโยชน์และนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มและอาหารได้หลากหลายมากมายกว่าที่คิด จากการจุดประกายการวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากผลหม่อนของผมและคณะในขณะที่สังกัดสถาบันวิจัยหม่อนไหม กรมวิชาการเกษตร
ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ สังกัดอยู่กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เช่นเดิม แต่ผลหม่อนผลไม้ขนาดจิ๋วก็ยังคงได้รับการวิจัยและพัฒนาการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นลูกไม้ที่ไม่ธรรมดา
ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ สังกัดอยู่กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เช่นเดิม แต่ผลหม่อนผลไม้ขนาดจิ๋วก็ยังคงได้รับการวิจัยและพัฒนาการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นลูกไม้ที่ไม่ธรรมดา
ลูกหม่อนหรือผลหม่อน ฟังดูเหมือนไม่มีคุณค่าเท่าใด ถ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “mulberry” (มัลเบอร์รี่) ฟังดูมีคุณค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้นชาวไทยภูเขาภาคเหนือ เมื่อเก็บผลหม่อนที่ปลูกเป็นไม้ริมรั้วมาจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวหรือชาวไทยพื้นราบจึงเรียกว่า มัลเบอร์รี่บ้าง ราสเบอร์รี่หรือบลูเบอร์รี่บ้าง แล้วแต่จะนึกได้ ขอให้ฟังดูดีขายได้ราคาก็เพียงพอแล้ว
ในต่างประเทศนิยมทำอาหารและเครื่องดื่มจากผลไม้จิ๋วกลุ่มเบอร์รี่มากอีกทั้งผลไม้เหล่านี้ยังมีราคาแพง ในรัฐแคลิฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกามีราคาสูงถึง 800 – 1,200 บาทต่อกิโลกรัม อีกทั้งยังนิยมปลูกเป็นไม้บังลม (wind break) รอบสวนองุ่นและสวนผลไม้อื่นๆ เพื่อใช้สำหรับเป็นอาหารของนกในเมือง
ในต่างประเทศนิยมทำอาหารและเครื่องดื่มจากผลไม้จิ๋วกลุ่มเบอร์รี่มากอีกทั้งผลไม้เหล่านี้ยังมีราคาแพง ในรัฐแคลิฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกามีราคาสูงถึง 800 – 1,200 บาทต่อกิโลกรัม อีกทั้งยังนิยมปลูกเป็นไม้บังลม (wind break) รอบสวนองุ่นและสวนผลไม้อื่นๆ เพื่อใช้สำหรับเป็นอาหารของนกในเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น